วันอังคารที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2555

การประมวลผลข้อมูล คอมพิวเตอร์อาศัยอุปกรณ์ 4 ส่วนหลักในการประมวลผลข้อมูล ได้แก่
1. อุปกรณ์นำเข้าข้อมูล (Input devices)
 2.อุปกรณ์ประมวลผลข้อมูล (Processor / Central Processing Unit:CPU)
 3.อุปกรณ์แสดงผลข้อมูล (Output devices)
4.อุปกรณ์จัดเก็บข้อมูล (Storage) ซึ่งสามารถอธิบายขั้นตอนการประมวลผลข้อมูลได้ดังนี้
1. การนำข้อมูลเข้าสู่ระบบ (Input) User ทำการป้อนข้อมูล (Input data) เข้าสู่ระบบ โดยอาศัย อุปกรณ์ Input device
 2.การประมวลผลข้อมูล (Process) : เครื่องเริ่มทำการประมวลผล โดยข้อมูลที่ User นำเข้า มาจะส่งไปเก็บในหน่วยความจำหลัก (Memory :RAM) จากนั้น Control Unit จะควบคุมการไหลของข้อมูลผ่านระบบ Bus system จาก RAM ไปยัง ALU เพื่อให้ทำงานตามคำสั่ง ระหว่างการประมวลผล Register จะคอยเก็บชุดคำสั่งขณะที่ load ข้อมูลอยู่ และ Cache จะคอยดักชุดคำสั่งที่ CPU เรียกใช้บ่อย ๆ และคอยจัดเตรียมข้อมูลหรือชุดคำสั่งเหล่านั้นเพื่อเอื้อให้ CPU ประมวลผลข้อมูลได้เร็วขึ้น ซึ่งการประมวลผลของเครื่องนี้จะทำงานตามรอบสัญญาณนาฬิกาของเครื่อง (Machine cycle) Note: Machine cycle หมายถึง รอบเวลาที่ใช้ในการประมวลผลชุดคำสั่งของเครื่องต่อรอบสัญญาณนาฬิกา เป็นเวลาที่ร้องขอการทำงาน เช่น การเรียก (Load) ข้อมูล, การประมวลผล (Execute) และการจัดเก็บข้อมูล ซึ่งใน Machine cycle จะประกอบด้วย 2 ช่วงจังหวะการทำงาน ได้แก่ 1.Instruction time ( I-time) หมายถึง ช่วงเวลาที่ Control unit รับคำสั่ง (Fetch) จาก memory และนำคำสั่งนั้นใส่ลงไปใน register จากนั้น Control unit จะทำการถอดรหัสชุดคำสั่งและพิจารณาที่อยู่ของข้อมูลที่ต้องการ 2. Execution time หมายถึง ช่วงเวลาที่ Control unit จะย้ายข้อมูลจาก memory ไปยัง registers และส่งข้อมูลให้ ALU ทำงานตามคำสั่งนั้น เมื่อ ALU ทำงานเสร็จ Control unit จะเก็บผลลัพธ์ไว้ใน memory ก่อนส่งไปแสดงผลที่ Monitor หรือ Printer 3. การแสดงผลข้อมูล (Output) หลังจาก CPU ประมวลผลเสร็จเรียบร้อย Control Unit จะ ควบคุมการไหลของข้อมูลผ่านBus system เพื่อส่งมอบ (Transfer) ข้อมูลจาก CPU ไปยังหน่วยความจำ จากนั้นส่งข้อมูลออกไปแสดงผลที่ Output device (หากคุณใช้ Card เพิ่มความเร็วในการแสดงผลของจอภาพ ก็จะส่งผลต่อความเร็วของระบบได้เช่นกัน) ผลลัพธ์ที่ได้จากการประมวลผลข้อมูล (Data) เรียกว่า ข่าวสารหรือสารสนเทศ (Information) 4.การจัดเก็บข้อมูล (Storage) หน่วยจัดเก็บข้อมูล ซึ่งหมายถึงสื่อจัดเก็บสำรอง เช่น Harddisk Diskette หรือCD ทำงาน 2 ลักษณะ คือ 1 ) การ Load ข้อมูลเพื่อนำไปประมวลผล ถ้าข้อมูลถูกจัดเก็บอยู่ใน Harddisk แล้ว คุณต้องการ Load ข้อมูลขึ้นมาแก้ไขหรือประมวลผล ข้อมูลที่ถูก Load และนำไปเก็บในหน่วยความจำ (Memory:RAM) จากนั้นส่งไปให้ CPU 2 ) การเก็บข้อมูลเมื่อประมวลผลเสร็จ เมื่อ CPU ประมวลผลข้อมูลเสร็จ ข้อมูลนั้น จะถูกเก็บอยู่ในหน่วยความจำ (Memory:RAM) ซึ่ง RAM จะเก็บข้อมูลเพียงชั่วขณะที่เปิดเครื่อง (Power On) เมื่อไรที่คุณปิดเครื่อง โดยที่ยังไม่สั่งบันทึกข้อมูล (Save) ข้อมูลก็จะหาย (Loss) ดังนั้นหาก User ต้องการจัดเก็บข้อมูลเพื่อไว้ใช้งานในครั้งต่อไปจะต้องสั่งบันทึก โดยใช้คำสั่ง Save ไฟล์ข้อมูลก็จะถูกนำไปเก็บในสื่อจัดเก็บสำรอง ได้แก่ Diskette Harddisk CD หรือ Thumb Drive แล้วแต่ว่าคุณจะเลือก Save ไว้ในสื่อชนิดใด SSD (Solid State Drive) SSD (Solid State Drive) เป็นเทคโนโลยีใหม่ในการประยุกต์ใช้ Flash Memory มาทำเป็น Harddisk ประโยชน์ที่ได้รับที่เห็นกันอยู่ ก็จะพบว่า ความไวในการ เข้าถึงข้อมูลจะทำได้ไวกว่า Harddisk ที่ใช้กันอยู่ในท้องตลาดซึ่งเป็น Harddisk แบบที่ใช้จานแม่เหล็ก ที่เวลาเข้าถึงข้อมูลจะต้องให้ Harddisk หมุนไปแล้วจึงหาสืบค้นข้อมูลที่ถูกเก็บใน harddisk ได้ โดยวิธีนี้ทำให้ เกิดความร้อนขึ้น ในตัวของ Harddisk เอง ยิ่งมีความไวของมอเตอร์ ที่ใช้ในการหมุนตัว จานแม่เหล็ก มากเท่าไรก็จะ ทำให้ มีความร้อนสูงมากขึ้นด้วย ดังนั้นการออกแบบจึงต้องมีการเพิ่ม พื้นที่ในการระบายความร้อนให้มากขึ้น เพื่อให้เกิดเสถียรภาพในการทำงานของ Server ได้ การพัฒนาเทคโนโลยีของ Harddisk นั้นก็ พัฒนา มาหลายปี แต่ยังคงเป็นเทคโนโลยี่ที่ใช้มอเตอร์และจานแม่เหล็ก จนถึงปัจจุบันได้มีการพัฒนาเทคโนโลยีทางด้านนี้โดยการนำ meomory หรือ การนำ Solid State มาทำเป็น Harddisk ด้วยเหตุผลที่ว่า การเข้าถึงข้อมูล การเขียนข้อมูล ลงไปบนตัว Harddisk การคำนึงถึงความร้อนที่เกิดขึ้นบนตัว Harddisk เสียงที่เกิดจากการหมุนของมอเตอร์บนตัว Harddisk ดังนั้น ปัญหาพวกนี้จะหมดไปถ้าเรานำเทคโนโลยี Solid State มาใช้ ถ้านำไปใส่ใน Notebook จะช่วยทำให้ ประสิทธิภาพของแบตเตอรี่ Notebook ทำงานได้ดีขึ้น เพราะจะกินพลังงานต่ำ เมื่อเทียบกับ harddisk แบบเดิม การทำงานของมันก็คือ Memory แบบ Flash เมื่อมีการอ่านหรือ เขียนข้อมูล ก็จะยังจดจำข้อมูลที่มีการ Update ครั้งสุดท้ายไว้ได้ ซึ่งจะแตกต่างกับ RAM (Random Access Memory) ซึ่งข้อมูลจะหายไปเมื่อเราปิดเครื่องหรือ ไม่มีแหล่งจ่ายไฟเลื้ยงตัวอุปกรณ์ ข้อมูลที่บรรจุอยู่ด้านในก็จะหายไปด้วย แต่ Flash Memory ไม่ใช่อย่างนั้น เมื่อเราทำการ เขียนข้อมูลลงไปที่ Flash Memory แล้ว ข้อมูลเหล่านั้นไม่ได้สูญหายไปไหน ยังคงเก็บเอาไว้ เหมือนต้นฉบับทุกประการ ดังนั้นจึงมีคนนำเทคโนโลยี่นี้มาต่อยอด และพัฒนา มาเป็น Solid State Drive (SSD) ในที่สุด ไม่มีส่วนที่เคลื่อนไหวเหมือนกับ Harddisk จานแม่เหล็ก เพราะใช้ Flash เป็นตัว จัดเก็บข้อมุล หากศึกษาจากวิดีโอด้านล่าง จะเห็นความแตกต่างของ SSD กับ HDD อย่างเห็นชัดเจน ข้อดีของ Solid State Drive (SSD) 1. ความเร็วในการเข้าถึงข้อมูลไวกว่า เมื่อเปรียบเทียบกับ Harddisk ที่เราใช้กันในปัจจุบัน 2. ไม่เปลืองพลังงานไฟฟ้า 3. ไม่มีเสียงดัง เนื่องจากเก็บข้อมูลด้วย Flash Memory ดังนั้นจึงไม่มีชิ้นส่วนที่ต้องเคลื่อนที่ 4. ไม่มีความร้อน 5. สามารถตกจากที่สูงได้ ในขณะที่ข้อมูลด้านในไม่เป็นอะไรเลย เมื่อเปรียบเทียบกับ Harddisk แบบที่เราใช้การกันใจปัจจุบัน (สามารถกระแทกได้) 6. ความไวในการ Boot เครื่อง ข้อเสียของ Soild State Drive(SSD) 1. การเขียนข้อมูลจะช้า เพราะมันคือ Flash การเขียนของมันจะต้องทำการ เพิ่มกำลังไฟฟ้าให้สูงขึ้นพอที่จะทำให้ข้อมูลใหม่เพิ่มเข้าไปได้ 2. ราคาค่อนข้างแพงเมื่อเทียบกับ Harddisk แบบที่เราใช้กันในปัจจุบัน 3. ความจุ (เนื้อที่) น้อยเพราะปัจจุบันสายการผลิต มีอยู่ 3 ขนาดคือ 64, 128 และสูงสุดอยู่ที่ 256 GB ที่มา:www.howstuffworks.com/operation-system.htm จะเห็นได้ว่าหน่วยความจำของเครื่องคอมพิวเตอร์มีการจัด โครงสร้างเป็นแบบลำดับชั้น ซึ่งชั้นสูงสุดและอยู่ใกล้กับโปรเซสเซอร์มากที่คือ รีจีสเตอร์(Register)ที่อยู่ภายในโปรเซสเซอร์ จากนั้นลงมาก็เป็นหน่วยความจำแคช (Cache) หนึ่งหรือสองระดับ ซึ่งถ้ามีหลายระดับมักจะเรียกว่า Cache ระดับ L1, L2,… จาก นั้นจึงเป็นหน่วยความจำหลักซึ่งมักจะสร้างมาจาก DRAM (Dynamic Random Access Memory) ซึ่งหน่วยความจำที่กล่าวมาทั้งหมดนี้จัดว่าเป็นส่วนที่อยู่ภายในเครื่อง คอมพิวเตอร์ และเป็นแบบโวลาไทล์ (Volatile) คือ ข้อมูลจะหายไปเมื่อไม่มีไฟเลี้ยง และโครงสร้างลำดับชั้นยังขยายต่อออกไปที่หน่วยความจำภายนอกเครื่อง คอมพิวเตอร์ ซึ่งมักจะหมายถึงอุปกรณ์ไอโอที่มีความเร็วสูง เช่น ฮาร์ดดิสก์ นอกเหนือจากนี้ได้แก่ อุปกรณ์ ZIP อุปกรณ์อ็อพติก และเทปแม่เหล็ก เป็นต้นตำแหน่งการอ้างอิงข้อมูลในหน่วยความจำหลักโดยโปรเซสเซอร์นั้น มักจะเป็นตำแหน่งเดิม ดังนั้นหน่วยความจำ Cache มักจะคัดลอกข้อมูลในหน่วยความจำหลักที่เคยถูกอ้างอิงไปแล้วเอาไว้ ซึ่งถ้าการทำงานของ Cache ได้รับการออกแบบมาเป็นอย่างดีแล้ว ส่วนใหญ่โปรเซสเซอร์ก็จะเรียกใช้ข้อมูลที่อยู่ใน Cache เป็นส่วนมาก แม้ว่าโดยหลักการแล้วดูจะเป็นเรื่องง่าย แต่หน่วยความจำของคอมพิวเตอร์ได้แสดงให้เห็นว่าเป็นส่วนหนึ่งที่อาจจะมี จำนวนชนิด เทคโนโลยี โครงสร้าง ประสิทธิภาพ และราคากว้างมากที่สุด ไม่มีเทคโนโลยีใดทีจะสามารถตอบสนองความต้องการหน่วยความจำของเครื่อง คอมพิวเตอร์ได้ดีที่สุด เมื่อเห็นและรู้จักโครงสร้างลำดับชั้นของหน่วยความจำกันแล้ว เราก็มาทำความรู้จักแต่ละส่วนว่ามันมีความแตกต่างกันอย่างไรในเรื่องของขนาด หรือความจุ ความเร็ว และราคา โดยเริ่มกันที่ รีจิสเตอร์ (Register) ถือว่าเป็นหน่วยความจำที่มีความจุน้อยสุด มีความเร็วสูงสุด และมีราคาแพงสุด โดยมันถูกสร้างเป็นส่วนหนึ่งของชิปหน่วยประมวลผลกลาง โดยอยู่ที่ตำแหน่งบนสุดในลำดับชั้นบนสุดของหน่วยความจำ ใช้เก็บข้อมูลเข้าและผลลัพธ์ตามที่ระบุไว้ในแต่ละคำสั่งของชุดคำสั่งของ หน่วยประมวลผลกลาง ตัวอย่างเช่น - รีจิสเตอร์ที่ใช้เห็นค่าตัวเลยที่เป็นจำนวนต็ม (data registers) - รีจิสเตอร์ที่ช้เก็บตำแหน่งต่างๆ ของหน่วยความจำ (address registers) - รีจิสเตอร์ที่ใช้เก็บค่าคงที่ (cinstant registers) ที่สามารถอ่านได้อย่างเดียว - รีจิสเตอร์ที่มีหน้าที่เฉพาะอย่าง (special purpose registers) เช่น program counter ที่มีหน้าที่เก็บตำแหน่งของคำสั่งถัดไปที่ต้องประมวลผลและสแต็คพ้อยท์เตอร์ ที่มีหน้าที่เก็บตำแหน่งของข้อมูลล่าสุดในสแต็ค แคช (Cache) หน่วยความจำ Cache สร้างขึ้นมาเพื่อที่จะให้เป็นหน่วยความจำที่ทำงานได้เร็วทีสุด โดยปกติแล้วจะทำหน้าที่เก็บสำเนาข้อมูลบางส่วนในหน่วยความจำหลักเอาไว้ วิวัฒนาการของการพัฒนาหน่วยความจำ Cache สามารถเห็นได้ชัดเจนจากวิวัฒนาการของไมโครโปรเซสเซอร์จากบริษัท Intel เมื่อเทคโนโลยีก้าวหน้ามากขึ้น ช่วยให้สามารถใส่ Cache เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของ ชิ พโปรเซสเซอร์ได้ ซึ่งเรียกว่า on-chip cache เครื่องคอมพิวเตอร์ในยุคปัจจุบันมีการนำ Cache มาใช้งานร่วมกัน และเรียกโครงสร้างประเภทนี้ว่า Cache 2 ระดับ โดย Cache ระดับที่ 1(L1) หมายถึง on-chip cache Cache ระดับที่ 2(L2) หมายถึง Cache ภายนอก เหตุผลที่ต้องมี L2 Cache เนื่อง จากถ้าหากโปรเซสเซอร์ไม่สามารถหาข้อมูลได้จาก L1 Cache ข้อมูลส่วนหนึ่งจะถูกพบที่นี่ ซึ่งช่วยให้การเข้าถึงข้อมูลนั้นรวดเร็วกว่าการเข้าถึงหน่วยความจำหลักโดย ตรง โดยเฉพาะถ้าชิพที่นำมาสร้าง L2 Cache เป็นแบบ SRAM ที่มีความเร็วเท่ากับบัสแล้ว ข้อมูลในนี้จะถูกนำส่งโปรเซสเซอร์ได้โดยไม่มีการรอจังหวะสัญาณนาฬิกา (zero-wait state transaction) เกิดขึ้นเลยซึ่งเป็น L2 Cache ชนิดที่เร็วที่สุด ซีพียูรุ่น 8086 เป็นซีพียูของอินเทลที่ทำงานแบบ 16 บิตแบบสมบูรณ์ เพราะทั้งสถาปัตยกรรม ภายในและภายนอกเป็นแบบ 16 บิตอย่างแท้จริง ต่างจาก 8088 ที่สถาปัตยกรรมภายในเป็น ระบบประมวลผลแบบ 16 บิต แต่สถาปัตยกรรมภายนอกที่ใช้ในการเชื่อมต่อกับดาต้าบัส เพื่อ รับส่งข้อมูลเป็นแบบ 8 บิต บิต (bit) คำศัพท์ตัวแรกที่จะแนะนำให้รู้จักก็คือคำว่า บิต โดยบิตเป็นหน่ายที่เล็กที่สุดในจำนวนหน่วยที่อยู่ภายในเครื่องคอมพิวเตอร์ โดยใช้หลักการง่าย ๆ ด้วยเลขดิจิตอลเพียง 2 หลัก ไบต์ (Byte) เป็นหน่วยอีกเช่นกัน แต่มีขนาดใหญ่ขึ้นมาหน่อย โดย 1 ไบต์ จะประกอบด้วย 8 บิต ซึ่งจะแทนตัวอักษร 1 ตัว ซึ่งเวลาคุณใช้เครื่องก็มักจะพบคำนี้บ่อย ๆ เฃ่นขนาดไฟล์ขนาด 800 ไบต์ ซึ่งหน่วยตัวนี้ใช้บอกขนาดความใหญ่ของข้อมูลได้ กิโลไบต์ (Kilobyte :KB) เป็นหน่วยที่ใหญ่ขึ้นมาอีกระดับ ซึ่ง 1 กิโลไบต์เท่ากับ 1024 ไบต์ หน่วยตัวนี้ก็ใช้บอกความใหญ่ของไฟล์ข้อมูลได้เหมือนกัน เช่นไฟล์ขนาด 1 กิโลไบต์ ก็เท่ากับ 1024 ไบต์ เมกกะไบต์ (Megabyte : MB) สำหรับคำนี้หลายคนคงคุ้นเคยการใช้หน่วยของฮาร์ดดิสก์รุ่นเก่า ๆ มาบ้างแล้ว โดย 1 เมกกะไบต์ จะเท่ากับ 1024 กิโลไบต์ หรือ 1,048,576 ไบต์ หรือในบางครั่งที่คุณต้องการซื้อแผ่นดิสกืมาใช้ ก็จะต้องเห็นคำว่า 1.44 MB. ซึ่งก็คือความจุสูงสุดที่แผ่นรับได้ กิกะไบต์ (Gigabyte : GB) สำหรับหน่วยความจุนี้เป็นหน่วยที่ใช้กันมากในปัจจุบัน เพราะใครที่ต้องการซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์ใหม่ คงต้องถามว่า ฮาร์ดดิสก์ 40-80 GB หรือเปล่า แล้วใครรู้บ้างว่า ฮาร์ดดิสก์ 40 GB มีขนาดเท่าไร ขนาด 1 กิกะไบต์ นั้นจะเท่ากับ 1,073,741,824 ไบต์ หรือ 1024 แล้ว กิโลไบต์ แล้ว 40 GB นั้นจะเท่ากับ ???? ไบต์ จำนวนของขา cpu หน่วยวัดความเร็วซีพียูที่ควรรู้ ความเร็วในการทำงานของซีพียูนี้จะวัดกันในหน่วยเมกะเฮิรตซ์ (MHz = ล้วนรอนต่อวินาที) อย่างเช่น Duron 950 MHz , Pentium 4 2.0 GHz เป็นต้น ซึ่งมีความหมายดังนี้ ในส่วนของ เมกะ จะแทนด้วยตัวอักษร M ซึ่งจะมีค่าเท่ากับ 1,000,000 และในส่วนของเฮิรตซ์ จะแทนด้วยอักษร Hz ที่หลายคนเคยผ่านตามาบ้างแล้ว - 1 MHz (Mega Hearz) = 1,000,000 Hz หรือ 1 ล้านเฮิรตซ์ - 1 GHz (Gega Hearz) = 1,000,000,000 Hz หรือ 1 พันล้านเฮิรตซ์ ความหมายนี้ เป็นอย่างเดียวกัน คือใช้สำหรับขนส่งสิ่งที่ต้องการขนส่งจากจุดหนึ่ง ไปยัง อีกจุดหนึ่ง โดยนัยแล้ว สิ่งที่ขนส่งก็คือ " สัญญานไฟฟ้า " หรือ เรียกง่ายๆ ว่า " ข้อมูล " นั่นเอง. แล้ว BUS ในระบบคอมพิวเตอร์ หน้าตามันเป็นอย่างไร ? ก็ เมื่อ BUS มีหน้าที่ในการขนส่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ ซึ่งก็คือสัญญานไฟฟ้าในระบบคอมพิวเตอร์ ดังนั้น BUS ในเครื่องคอมพิวเตอร์ของเราๆ ก็คือ เส้นโลหะตัวนำสัญญานไฟฟ้ามักเป็น " ทองแดง " ที่อยู่บนแผ่นวงจรพิมพ์ต่างๆ เช่น Mainboard เป็นต้น ที่เราเห็นเป็นลายเส้น เล็กบ้าง ใหญ่บ้าง เป็นแถบๆ หลายๆ เส้น บ้าง หรือ เป็นเส้นเดี่ยวๆ บ้าง และ BUS มีการทำงานที่สลับซับซ้อนพอสมควรจึงมักเรียกว่า " ระบบบัส " หรือ " BUS SYSTEM " แล้ว BUS แบ่งออกเป็นกี่ประเภท ? โดยทั่วไป ระบบบัส ในเครื่องคอมพิวเตอร์ ถูกแบ่งออกเป็น 3 ประเภท กล่าวคือ 1. ADDRESS BUS คือ ระบบบัสที่ใช้สำหรับแจ้งตำแหน่งหรือ ระบุตำแหน่งที่อยู่ ในระบบคอมพิวเตอร์ 2. CONTROL BUS คือ ระบบบัสที่ใช้สำหรับส่งการควบคุม ไปยังส่วนต่างๆ ในระบบคอมพิวเตอร์ 3. DATA BUS คือ ระบบบัสที่ใช้สำหรับการส่งข้อมูลไปยังตำแหน่งที่ระบุโดย Address bus และ ถูกควบคุมโดย Control bus หมาย เหตุ : แล้ว FSB : Front Side Bus คืออะไร ? คำว่า Front Side Bus หรือ FSB เป็นคำที่ถูกบัญญัติขึ้นเพื่อใช้สำหรับการกำหนดความเร็วในการทำงานระหว่าง CPU กับ RAM โดยตรง ซึ่งโดยปกติการทำงานของระบบคอมพิวเตอร์นั้น CPU จะทำงานโดยอาศัยหน่วยความจำ ( RAM ) เป็นเสมือนหนึ่ง " โต๊ะทำงาน " และ " ถังพักข้อมูล " ในการทำงาน เมื่อ CPU มีความเร็วในการทำงานที่สูง เมื่อสามารถเข้าถึงข้อมูลโดยตรงกับ หน่วยความจำที่เป็น RAM จึงแทบไม่ต้องอยู่ในสถานะที่รอคอย ( Wait State ) ข้อมูลในการทำงานมากเหมือนการติดต่อกับอุปกรณ์อื่นๆ ดังนั้นจึงมีการออกแบบและกำหนดสถาปัตยกรรมของการเข้าถึงข้อมูลในหน่วยความจำ ( RAM ) เพื่อความรวดเร็วในการทำงานระหว่าง CPU กับ RAM โดยตรงให้มีความเร็วที่สูงที่สุดเท่าที่ หน่วยความจำนั้นๆ จะตอบสนองการทำงานได้ จึงได้เห็นหน่วยความจำที่มีความเร็วขนาดต่างๆ เช่น FSB266 , FSB333 , FSB400 , FSB533 , FSB667 , FSB800 , FSB1066 เป็นต้น โดยการเลือกความเร็วระดับต่างๆ จำเป็นต้องสอดคล้องกับ CPU ที่ใช้ และ Mainboard ที่ใช้ เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อระบบคอมพิวเตอร์ในด้านความเร็วในการประมวลผล และ คุณจะสังเกตุเห็นได้ว่า Socket สำหรับติดตั้ง หน่วยความจำ ( RAM ) บนเมนบอร์ดนั้นจะอยู่ใกล้กับ CPU มาก และ จาก CPU จะมีช่องทางการต่อเชื่อมถึงหน่วยความจำ ( RAM ) โดยผ่านเส้นลวดตัวนำสัญญานที่สั้นมากนั่นเอง แล้ว BUS ทำงานอย่างไร ? เมื่อ BUS เป็นเส้นทางการส่งข้อมูลที่เป็นสัญญานไฟฟ้าในระบบคอมพิวเตอร์ของเรา ดังนั้นก็จะมี วงจร สำหรับควบคุมการทำงานของระบบ BUS เรียกว่า BUS Controller ซึ่งในอดีต มี Chip IC ที่ทำหน้าที่นี้โดยตรงแยกออกไป ในปัจจุบัน ได้มีการ รวมวงจรควบคุม BUS นี้เข้าไว้ใน North Bridge Chip โดยที่วงจรควบคุมระบบ BUS นี้จะทำหน้าที่ จัดช่องสัญญานประเภทต่างๆให้ทำงานร่วมกันอย่างเป็นระบบ บนเมนบอร์ดให้กับอุปกรณ์ที่ร้องขอใช้งาน เช่น CPU , อุปกรณ์ I/O , Port ต่างๆ เป็นต้น อีกนัยหนึ่งของ BUS มีเรียกขานกันในเรื่องเกี่ยวกับเครื่อข่ายคอมพิวเตอร์ ( Computer Network ) โดยมีความหมายว่า เป็นสถาปัตยกรรมการต่อเชื่อมเครื่อข่ายคอมพิวเตอร์รูปแบบหนึ่ง โดยมีแนวเส้นหลัก ทำหน้าที่เสมือนหนึ่งเป็น " ถนนสายหลัก " ที่ใช้สำหรับ " เดินทาง " หรือ " ขนส่งข้อมูล " และ เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ต่ออยู่กับระบบ BUS Network นี้ เป็นเสมือนหนึ่ง " บ้าน " ที่อยู่ใน " ถนนย่อย " ที่แยกออกจากถนนหลัก โดยที่ " ถนนย่อย " ที่แยกแต่ละถนนนั้น จะมี " เครื่องคอมพิวเตอร์ หรือ บ้าน " เพียงหลังเดียวอยู่ที่ปลายถนนย่อยแต่ละเส้น นั่นเอง โดยที่จุดแยกเข้าถนนย่อยนั้น จะมีอุปกรณ์ตัวหนึ่งที่ทำหน้าที่ " แยกสัญญาน " หรือ " พ่วงสัญญาน " ที่เรียกว่า MAC ( Media Access Connector ) เป็นตัวเชื่อมต่อและแยกสัญญานให้ แห่งเวป http://www.expert2you.com/

วันพฤหัสบดีที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2555

เอาพุตท์

       กลุ่มอุปกรณ์เอาต์พุต : กลุ่ม O ใช้กับพอร์ต P0 – P7  
แผงวงจรกำเนิดแสงอินฟาเรด : Infrared LED
หลอดส่งแสงอินฟราเรด ใช้งานได้สองลักษณะคือ
- ส่งแบบต่อเนื่อง ทำงานเมื่อเป็นลอจิก “1” (HIGH) จะใช้ร่วมกับแผงวงจรโฟโต้ทรานซิสเตอร์วัดระดับความเข้มที่ได้
- ส่งสัญญาณความถี่ ด้วยคำสั่ง FREQOUT จะใช้ร่วมกับแผงวงจรโมดูลรับแสงอินฟราเรดเพื่อแจ้งสถานะว่ารับสัญญาณได้หรือไม่

แผงวงจรหลอดแสดงผล : LED monitor
หลอดแสดงผลหรือ LED แบ่งการทำงานเป็น 2 กรณีคือ เมื่อต่อกับช่อง HIGH
ถ้าสัญญาณที่เข้ามาเป็นลอจิก “1” แสดงเป็นสีแดงเมื่อต่อกับช่อง LOW
ถ้าสัญญาณที่เข้ามาเป็นลอจิก “0” จะแสดงเป็นสีเขียว
ถ้าไม่ใช้สัญญาณที่กำหนด หลอดแสดงผลจะดับ
SLCD :โมดูล LCD แบบอนุกรม
แนวคิดในการสร้างโมดูล LCD แบบอนุกรมคือ นำโมดูล LCD แบบขนานมาเชื่อมต่อเข้ากับแผงวงจรแปลงการสื่อสารข้อมูลแบบอนุกรมเป็นขนาน เมื่อเบสิกแสตมป์ 2SX ส่งข้อมูลอนุกรมเข้ามา แผงวงจรดังกล่าวจะทำการแปลงเป็นข้อมูลแบบขนานแล้วส่งต่อไปยังโมดูล LCD เพื่อให้ทำงานตามที่กำหนดต่อไป
คุณสมบัติทางเทคนิคของ SLCD : โมดูล LCD แบบอนุกรม
- แสดผลได้ 16 ตัวอักษร 2 บรรทัด
- เชื่อมต่อกับพอร์ตของเบสิกแสตมป์ได้โดยตรง (ในกรณีใช้ Sci-BOX ต่อเข้าที่ขา P0 – P7 ขาใดขาหนึ่ง)
- เชี่อมต่อกับพอร์ตอนุกรม RS-232 ได้โดยตรง
- สามารถเลือกสัญญาณเชื่อมต่อเป็นแบบโดยตรง(direct) หรือแบบกลับลอจิก (invert) ได้
- เลือกบอดเรตได้ 2 ค่า คือ 2400 และ 9600 บิต ต่อ วินาที ในรูปแบบข้อมูล 8 บิต ไม่มีพาริตี้บิตหยุด 1 บิต (8N1)
- เลือกชุดคำสั่งในการควบคุมได้ทั้งแบบมาตรฐานและแบบเพิ่มเติม
- ใช้สัญญาณเชื่อมต่อเพียง 3 เส้น คือ +Vcc(+) , GND(G) และ Serial input(S)
- สามารถเชื่อมต่อไมโครคอนโทรลเลอร์ได้ทุกตระกูล โดยใช้ขาพอร์ตในการติดต่อเพียง 1 เส้น
- ใช้ไฟเลี้ยงได้ตั้งแต่ +5 ถึง +12 V

การใช้งาน SLCD :โมดูล LCD แบบอนุกรม
ในรูปแบบด้านล่างแสดงรายละเอียดของแผงวงจรด้านหลังของ SLCD บนบอร์ดมีจัมเปอร์เพื่อควบคุมการทำงานทั้ง 4 ตัว มีดังรายละเอียดต่อไปนี้

1. จัมเปอร์เลือกโหมดคำสั่ง (mode command jumper) ใช้สำหรับเลือกโหมดคำสั่งเพื่อควบคุมการแสดงผลของโมดูล LCD ซึ่งเลือกได้ 2 โหมด คือ โหมดคำสั่งมาตรฐาน(ST) ซึ่งจะตรงกับโมดูล LCD ของ Scott Edwards ที่ได้รับความนิยมทั่วโลก และโหมดคำสั่งเพิ่มเติม (Extended mode command : EX ) สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ในหัวข้อชุดคำสั่งของ SLCD ปกติจะเลือกไปที่โหมดคำสั่งมาตรฐาน(ST)
2. จัมเปอร์เลือกบรรทัดของการแสดงผล (Lines Jumper) ใช้เลือกจำนวนบรรทัดของการแสดงผล มีด้วยกัน 2 แบบ คือ 1/8 Duty หมายถึงเลือกแสดงผล 8 หลักต่อบรรทัด และแบบ 1/16 Duty หมายถึงเลือกแสดงผล 16 หลักหรือตัวอักษรต่อบรรทัดหรือมากกว่า ปกติจะเลือกไว้ที่ 1/16 ซึ่งหมายถึง เลือกการแสดงผลแบบหลายบรรทัด
3. จั๊มเปอร์เลือกบอดเรดหรืออัตราเร็วในการสื่อสารข้อมูลอนุกรม(baudrate select jumper) เลือกได้ 2 ค่า คือ 2400 บิตต่อวินาที และ 9600 บิตต่อวินาที ในรูปแบบจำนวนบิตข้อมูล 8 บิต ไม่มีบิตพาริตี้ และมีบิตหยุด 1 บิต
4. จัมเปอร์เลือกรูปแบบของสัญญาณเชื่อมต่อ(interface signal jumper) เลือกได้ 2 ค่า คือ แบบกลับลอจิกและ RS-232 (invert logic TTL/CMOS level or RS-232 : IN) กับแบบเชื่อมต่อโดยตรง (direct logic TTL/CMOS level:DI) ถ้าหากนำ SLCD ไปเชื่อมต่อกับพอร์ตอนุกรมของคอมพิวเตอร์ต้องเลือกไปที่ IN ถ้าหากเชื่อมต่อกับไมโครคอนโทรลเลอร์โดยตรง สามารถเลือกใช้ได้ทั้ง IN และ DI
การปรับความสว่างของจอแสดงผลทำได้โดยปรับที่ตัวต้านทานปรับค่าได้ในตำแหน่ง BRIGHTNESS
จุดเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ภายนอกมี 3 จุด คือ จุดต่อไฟเลี้ยง +Vcc(+) , อินพุตสัญญาณอนุกรม(Serial input : S) และจุดต่อกราวด์ (GND : G)
การเขียนข้อมูลและคำสั่งไปยัง SLCD ในกรณีเลือกใช้ชุดคำสั่งมาตรฐาน
จะต้องส่งรหัสเริ่มต้นเสียก่อน ในกรณีใช้งาน SLCD กับเบสิกแสตมป์ 2SX จะใช้คำสั่ง SEROUT ในการส่งข้อมูลไปยัง SLCD ดังมี

รูปแบบต่อไปนี้
SEROUT ขาพอร์ต , ค่า baudmode , [$FE , ข้อมูลคำสั่ง]
จะต้องส่งรหัสเริ่มต้นของการติดต่อกับ SLCD ซึ่งก็คือ $FE หรือ 254 รหัสนี้เป็นรหัสมาตรฐานของโมดูล LCD อนุกรมของ Scott Edwards จากนั้นส่งข้อมูลคำสั่งที่ต้องการตามไปได้เลย

สำหรับการเขียนข้อมูลแสดงผล มีรูปแบบดังนี้
SEROUT ขาพอร์ต , ค่า baudmode , [$FE , ข้อมูลแสดงผล]
เช่นเดียวกับการเขียนข้อมูลคำสั่ง ต้องส่งรหัสเริ่มต้น $FE ก่อน ตามด้วยข้อมูล 1 เพื่อแจ้งให้ตัวควบคุมบน SLCD ทราบว่า ข้อมูลหลังจากนี้เป็นข้อมูลสำหรับแสดงผล

การเขียนข้อมูลและคำสั่งไปยัง SLCD ในกรณีเลือกใช้ชุดคำสั่งเพิ่มเติม
มีรูปแบบที่คล้ายกับชุดคำสั่งมาตรฐาน แตกต่างกันเพียงไม่จำเป็นต้องส่งรหัสเริ่มต้น $FE และไม่ต้องส่งข้อมูล 1 เพื่อแยกข้อมูลคำสั่งกับข้อมูลแสดงผล เพียงใช้สัญลักษณ์ “ “ เพื่อกำหนดข้อมูลสำหรับแสดงผลเท่านั้น ในกรณีใช้งานกับเบสิกแสตมป์ 2SX จะใช้คำสั่ง SEROUT เช่นเดียวกัน สำหรับข้อมูลคำสั่งเพิ่มเติมสรุปไว้แล้วในกรอบแยกที่ 2 รูปแบบการเขียนคำสั่งและข้อมูลในโหมดคำสั่งเพิ่มเติมมีดังนี้

กรอบแยกที่ 2 คำสั่งควบคุม SLCD~ ในโหมดคำสั่งเพิ่มเติม
ข้อมูลคำสั่ง การทำงาน
128 อินิเชียล LCD
129 เคลียร์จอแสดงผล
130 กลับมาตำแหน่งเริ่มต้น
131 เคอร์เซอร์ไม่เลื่อนเมื่อมีอักษรใหม่
132 เคอร์เซอร์เลื่อนไปทางขวาเมื่อมีตัวอักษรใหม่
133 เคอร์เซอร์เลื่อนไปทางซ้ายเมื่อมีตัวอักษรใหม่
134 เปิดจอแสดงผล
135 ปิดจอแสดงผล
136 เปิดจอแสดงผลและแสดงเคอร์เซอร์
137 เปิดจอแสดงผลและแสดงเคอร์เซอร์กระพริบ
138 เลื่อนเคอร์เซอร์ไปทางซ้าย
139 เลื่อนเคอร์เซอร์ไปทางขวา
140 เลื่อนตัวอักษรใหม่ไปทางซ้าย
141 เลื่อนตัวอักษรใหม่ไปทางขวา
142 เขียน CGRAM แอดเดรส 0
143 เขียน CGRAM แอดเดรส 1
144 เขียน CGRAM แอดเดรส 2
145 เขียน CGRAM แอดเดรส 3
146 เขียน CGRAM แอดเดรส 4
147 เขียน CGRAM แอดเดรส 5
148 เขียน CGRAM แอดเดรส 6
149 เขียน CGRAM แอดเดรส 7
150 เขียน CGRAM แอดเดรส $100
151 เขียน CGRAM แอดเดรส $10
152 เขียน CGRAM แอดเดรส $14
153 เขียน CGRAM แอดเดรส $20
154 เขียน CGRAM แอดเดรส $40
155 เขียน CGRAM แอดเดรส $50
156 เขียน CGRAM แอดเดรส $54

SEROUT ขาพอร์ต , ค่า baudmode , [ข้อมูลคำสั่ง] และ
SEROUT ขาพอร์ต , ค่า baudmode , [“ข้อมูลแสดงผล”]

ตัวอย่างที่ 1
SEROUT 8 , 240 , [129]
ทำการส่งข้อมูลคำสั่งออกไปทางขวา P8 ของเบสิกแสตมป์ 2SX ด้วยบอดเรต 9600 บิตต่อวินาที แบบต่อฝโดยตรงเพื่อเคลียร์จอแสดงผล
ตัวอย่างที่ 2
SEROUT 8 , 240 , [“Hello Stamp 2SX!”]
ทำการส่งข้อมูลคำสั่งออกไปทางขวา P8 ของเบสิกแสตมป์ 2SX ด้วยบอดเรต 9600 บิตต่อวินาที แบบต่อโดยตรง เพื่อแสดงข้อความ Hello Stamp 2SX!”
ตัวอย่างที่ 3
SEROUT 8 , 240 , [154,”Test Line 2 LCD”]
ทำการส่งข้อมูลคำสั่งออกไปทางขวา P8 ของเบสิกแสตมป์ 2SX ด้วยบอดเรต 9600 บิตต่อวินาที แบบต่อโดยตรง เพื่อเลือกแอดเดรสของ DDRAM ตำแหน่ง $40 อันเป็นแอดเดรสเริ่มต้นของจอ LCD บรรทัดที่สองสำหรับแสดงข้อความ Test Line 2 LCD
ตัวอย่างที่ 4
SEROUT 8 , 240 , [150,137]
ทำการส่งข้อมูลคำสั่งออกไปทางขวา P8 ของเบสิกแสตมป์ 2SX ด้วยบอดเรต 9600 บิตต่อวินาที แบบต่อโดยตรง เพื่อเลือกแอดเดรสของ DDRAM ตำแหน่ง $00 อันเป็นแอดเดรสเริ่มต้นของจอ LCD บรรทัดแรกแล้วทำการเปิดจอแสดงผลพร้อมกับแสดงเคอร์เซอร์กระพริบ

การเชื่อต่อ SLCD กับ Sci-BOX
ทำได้งายมากเพียงต่อสัญญาณจากขาพอร์ต P0-P7 ขาใดขาหนึ่งบนบอร์ด Sci-BOX เข้ากับขาข้อมูลของ SLCD คำสั่งที่ใช้งานคือ SEROUT นั่นหมายความว่า การเขียนโปรแกรมติดต่อกับ SLCD ของเบสิกแสตมป์ 2SX จะเหมือนกับการติดต่ออนุกรมของคอมพิวเตอร์ และทำให้สามารถใช้งาน SLCD นี้กับพอร์ตอนุกรมของคอมพิวเตอร์ได้ด้วยเช่นกัน

แหล่งอ้างอิง http://www.rayongwit.ac.th
หน่วยแสดงผล (Output Unit)
โดยมากจะแบ่งออกเป็นสองประเภท คือ
  • หน่วยแสดงผลชั่วคราว (Soft Copy) หมายถึงการแสดงผลออกมาให้ผู้ใช้ได้รับทราบในขณะนั้น แต่เมื่อเลิกการทำงานหรือเลิกใช้แล้วผลนั้นก็จะหายไป ไม่เหลือเป็นวัตถุให้เก็บได้ แต่ถ้าต้องการเก็บผลลัพธ์นั้นก็สามารถส่งถ่ายไปเก็บในรูปของข้อมูลในหน่วยเก็บข้อมูลสำรอง เพื่อให้สามารถใช้งานในภายหลัง หน่วยแสดงผลที่จัดอยู่ในกลุ่มนี้ คือ
    • จอภาพ (Monitor) ใช้แสดงข้อมูลหรือผลลัพธ์ให้ผู้ใช้เห็นได้ทันที มีรูปร่างคล้ายจอภาพของโทรทัศน์ บนจอภาพประกอบด้วยจุดจำนวนมากมาย เรียกจุดเหล่านั้นว่า พิกเซล (pixel) ถ้ามีพิเซลจำนวนมากก็จะทำให้ผู้ใช้มาองเห็นภาพบนจอได้ชัดเจนมากขึ้น จอภาพที่ใช้ในปัจจุบันแบ่งได้เป็นสองประเภท คือ
      • จอซีอาร์ที (Cathode Ray Tube) นิยมใช้กับเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ส่วนมากในปัจจุบัน ใช้หลักการยิงแสงผ่านหลอดภาพคล้ายกับโทรทัศน์
      • จอแอลซีดี (Liquid Crystal Display) นิยมใช้เป็นจอภาพของเครื่องคอมพิวเตอร์แบบพกพาทำให้เป็นจอภาพที่มีความหนาไม่มาก มีน้ำหนักเบาและกินไฟน้อยกว่าวจอภาพซีอาร์ที แต่มีราคาสูงกว่า เทคโนโลยีจอแอลซีดีในปัจจุบันจะมีสองแบบคือPassive Matrix ซึ่งมีราคาต่ำแต่ขาดความคมชัดและอาจมองไม่เห็นภาพเมื่อผู้ใช้มองจากบางมุม ส่วน Aciive Matrix หรือบางครั้งอาจเรียกว่า Thin Film Transistor (TFT) จะให้ภาพที่คมชัดกว่าแต่จะมีราคาสูงกว่ามาก
    สมัยก่อนมีจอภาพระบบขาวดำหรือเขียวดำ ซึ่งเรียกว่า จอโมโนโครม (Monochrome) แต่ปัจจุบันนี้ซอฟต์แวร์ส่วนมากจะใช้ร่วมกับจอภาพชนิดสีเท่านั้น ซึ่งจะมีจอภาพอยู่หลายชนิดให้เลือก โดยแตกต่างกันในส่วนของ ความละเอียด ( Resolution) จำนวนสี (color) และ ขนาดของจอภาพ (size)
    ในส่วนความละเอียดของจอภาพ ในปัจจุบันจะนิยมใช้จอภาพชนิดสีแบบ Super Video Graphic Adapter หรือเรียกสั้น ๆ ว่า ซูเปอร์วีจีเอ (Super VGA) ซึ่งมีความละเอียด 800x600 พิกเซล สำหรับจอภาพที่มีความละเอียดต่ำ (low resolution) และสำหรับจอภาพที่มีความละเอียดสูง จะนิยมใช้ความละเอียดที่ 1024x768,1280x1024 หรือ 1600x1200 พิกเซล ซึ่งจะให้ความคมชัดที่สูงมาก สิ่งที่เป็นปัจจัยอีกอันหนึ่งที่ทำให้ภาพดูคมชัดมากขึ้นถึงแม้ว่าจะมีจำนวนพิกเซลเท่ากัน ก็คือ ระยะห่างระหว่างพิกเซล (dot pitch) โดยระยะห่างระหว่างพิกเซลน้อยก็จะให้ความละเอียดได้มากกว่า จอภาพที่มีขายในท้องตลาดปัจจุบันมีระยะห่างระหว่างพิกเซลอยู่ระหว่าง 0.25-0.28 หน่วย ซึ่งระยะห่างระหว่างพิกเซลนี้เป็นสิ่งที่ติดมากับเครื่องไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้
    ในส่วนของจำนวนสีนั้น ณ ขณะใดขณะหนึ่งแต่ละพิเซลจะแสดงสีได้เพียงสีเดียวเท่านั้น ซึ่งสีต่าง ๆ จะถูกแทนด้วยตัวเลข ดังนั้น ถ้าจอภาพแสดงได้ 16 สี เลขเหล่านั้นก็จะแทนด้วย 4 บิต ถ้าต้องการแสดงถึง 256 สีก็จะต้องใช้ 8 บิตแทนรหัสสีนั้น ๆ
    ปัจจุบันนี้ผู้ใช้มักจะแสดงภาพกราฟิก ภาพจากโทรทัศน์ ภาพเคลื่อนไหว บนจอภาพคอมพิวเตอร์ จุงต้องการจอภาพที่มีขนาดใหญ่มากขึ้น จอภาพที่นิยมใช้ในปัจจุบันมีขนาด 14 นิ้ว 15 นิ้ว และ 17 นิ้ว ส่วนจอภาพซึ่งมีจนาดใหญ่กว่านี้จะนิยมใช้กับงานที่เน้นกราฟฟิก เช่น งานออกแบบ (CAD/CAM) เป็นต้น

จอภาพคอมพิวเตอร์และแผงวงจรกราฟฟิก

    การต่อจอภาพเข้ากับเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์นั้นจะต้องมี แผงวงจรกราฟฟิก (Graphic Adapter Board) หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า การ์ดวีดีโอ (video card) ซึ่งจอภาพแต่ละชนิดก็ต้องการแผงวงจรที่ต่างกัน แผงวงจรกราฟฟิกจะถูกเสียบเข้ากับ ช่องขยายเพิ่มเติม (expansion slot) ในคอมพิวเตอร์ แผงวงจรกราฟฟิกมักจะมีหน่วยความจำเฉพาะที่เรียกว่า หน่วยความจำวีดีโอ (video memory) เพื่อให้ใช้โปรแกรมด้านกราฟฟิกได้สวยงามและรวดเร็ว ซึ่งหน่วยความจำนี้อาจใช้แรมธรรมดาหรือแรมแบบพิเศษต่าง ๆ เพื่อให้สามารถทำงานได้เร็วขึ้น เช่น วีดีโอแรม (video RAM) ซึ่งบางครั้งเรียกว่า วีแรม (VRAM) เป็นต้น
    สิ่งที่เป็นปัจจัยข้อหนึ่งที่ผู้ใช้จอภาพต้องคำนึงคือ อัตราการเปลี่ยนภาพ (refresh rate) ของการ์ดวีดีโอ โดยภาพที่แสดงบนจอภาพแต่ละภาพนั้นจะถูกลบและแสดงภาพใหม่เริ่มจากบนลงล่าง หาก อัตรการเปลี่ยนภาพในแนวดิ่ง (Vertical-refresh rate) เป็น 60 ครั้งต่อวินาที หรือ 60 Hz จะเกิดการกระพริบทำให้ผู้ใช้ปวดศีรษะได้ มีผู้วิจัยพบว่าอัตราเปลี่ยนภาพในแนวดิ่งไม่ควรต่ำกว่า 70 Hz จึงจะไม่เกิดการกระพริบ และทำให้ผู้ใช้ดูจอภาพได้อย่างสบายตา นอกจากนี้ยังมีอุปกรณ์สำหรับถอดรหัสภาพแบบMPEG (Motion Picture Experts) ซึ่งอาจอยู่ในรูปของซอฟต์แวร์ หรือฮาร์ดแวร์ที่ติดอยู่บนการ์ดวีดีโอ อันจะทำให้สามารถแสดงภาพเคลื่อนไหว เช่น ภาพยนตร์ต่าง ๆ บนจอคอมพิวเตอร์ได้อย่างต่อเนื่อง
    • อุปกรณ์ฉายภาพ (Projector)
    เป็นอุปกรณ์ที่นิยมใช้ในการเรียนการสอนหรือการประชุม เนื่องจากสามารถนำเสนอข้อมูลให้ผู้ชมจำนวนมากเห็นพร้อม ๆ กัน อุปกรณ์ฉายภาพในปัจจุบันจะมีอยู่หลายแบบ ทั้งที่สามารถต่อสัญญาณจากคอมพิวเตอร์โดยตรง หรือใช้อุปกรณ์พิเศษในการวางลงบนเครื่องฉายภาพข้ามศีรษะ (Overhead Projector) ธรรมดา เหมือนกับอุปกรณ์นั้นเป็นแผ่นใส่แผ่นหนึ่ง
    อุปกรณ์ฉายภาพจะมีข้อแตกต่างกันมากในเรื่องของกำลังส่องสว่าง เนื่องจากยิ่งมีกำลังส่องสว่างสูง ภาพที่ได้ก็จะชัดเจนมากขึ้น กำลังส่องสว่างมีหน่วยวัดค่าอยู่ 3 แบบ คือ LUX , LUMEN และ ANSI LUMEN โดยการวัดค่าแบบ LUX จะวัดค่าความสว่างที่จุดกึ่งกลางของภาพ จึงได้ค่าความสว่างสูงที่สุดเมื่อเทียบกับอีก 2 แบบ การวัดแบบ จะแบ่งภาพออกเป็น 3 ส่วน คือ บน กลางและล่าง และแต่ละส่วนจะถูกแบ่งออกเป็น 3 จุด คือ ริมซ้าย กลาง และริมขวา รวมจุดภาพทั้งหมด 9 จุด แล้วจึงใช้ค่าเฉลี่ยของความสว่างทั้ง 9 จุดคิดออกมาเป็นค่า LUMEN ส่วนการวัดแบบ ANSI LUMEN จะมีมาตรฐานสูงสุด โดยใช้วิธีเดียวกับ แต่จะกำหนดขนาดจอภาพไว้คงที่คือ 40 นิ้ว (หากไม่กำหนด การวัดค่าความสว่างจะสูงขึ้นเมื่อจอภาพมีขนาดเล็กลง)

อุปกรณ์ฉายภาพ

    • อุปกรณ์เสียง (Audio Output)
    คอมพิวเตอร์รุ่นใหม่ ๆ มักจะมีหน่วยแสดงเสียง ซึ่งประกอบขึ้นจาก ลำโพง (speaker) และ การ์ดเสียง (sound card) เพื่อให้ผู้ใช้สามารถฟังเพลงในขณะทำงาน หรือให้เครื่องคอมพิวเตอร์รายงานเป้นเสียงให้ทราบเมื่อเกิดปัญหาต่าง ๆ เช่น ไม่มีกระดาษในเครื่องพิมพ์ เป็นต้น รวมทั้ง สามารถเล่นเกมส์ที่มีเสียงประกอบได้อย่างสนุกสนาน โดยลำโพงจะมีหน้าที่ในการแปลงสัญญาณจากคอมพิวเตอร์ให้เป็นเสียงเช่นเดียวกับลำโพงวิทยุ ส่วนการ์ดเสียงจะเป็นแผงวงจรเพิ่มเติมที่นำมาเสียงกับช่องเสียบขยายในเมนบอร์ด เพื่อช่วยให้คอมพิวเตอร์สามารถส่งสัญญาณเสียงผ่านลำโพง รวมทั้งสามารถต่อไมโครโฟนเข้ามาที่การ์ดเพื่อบันทึกเสียงเก็บไว้ด้วย

การ์ดเสียง

    เทคโนโลยีด้านเสียงในขณะนี้อาจแบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ
    • Weveform audio หรืออาจเรียกว่า digital audio เป็นเทคโนโลยีที่เปรียบเสมือนการเก็บเสียงลงเทปเพลง แต่ในที่นี้จะเป็นการบันทึกเสียงในรูปของ waveform (รูปแบบคลื่นเสียง) ลงในแฟ้มข้อมูลตามฟอร์แมตต่าง ๆ เช่น .WAV ของ windows เป็นต้น ซึ่งสามารถนำเสียงที่บันทึกไว้นี้อ่านกลับมาเป็นคลื่นเสียงออกทางลำโพงได้และเนื่องจากข้อมูลเสียงที่เก็บไว้อยู่ในรูปของดิจิตอล ทำให้การปรับแต่งเสียงสามารถทำได้โดยสะดวก
    • MIDI (Musical Instrument Digital Interface) เป็นมาตรฐานของอุตสาหกรรมดนตรีแบบอิเล็กทรอนิกส์ ใช้สำหรับการส่งและแลกเปลี่ยนสัญญาณเสียงในรูปแบบที่อุปการ์อิเล็กทรอนิกส์สามารถใช้งานได้ โดยจะเป็นเทคโนโลยีที่เปรียบเสมือนการเก็บโน้ตเพลง เนื่องจากข้อมูลแบบ MIDI จะเป็นคำสั่งในการสังเคราะห์เสียงแทนที่จะเป็นเสียงเพลงจริง ๆ และจะใช้อุปกรณ์ ซินธิไซเซอร์ (Sythesizer) ในการรับคำสั่งจากข้อมูล MIDI ทำให้สามารถแก้ไขหรือปรับแต่งเพลงได้ทีละตัวโน้ต รวมทั้งสามารถปรับแต่งจังหวะได้โดยไม่กระทบกระเทือนถึงระดับเสียงของตัวโน้ต

การเล่นเสียงดนตรีแบบ MIDI

เทคโนโลยี
ข้อดี
ข้อเสีย

WAVEFORM
บันทึกเสียงได้ทุกชนิด
บันทึกการทำงานของเครื่องดนตรีแต่ละชิ้นได้
ให้เสียงที่เหมือนต้นฉบับ
ใช้เนื้อที่ดิสก์มาก
ปรับจังหวะทำให้ระดับเสียงของโน้ตเปลี่ยน
ความสามารถในการปรับแต่งจำกัด


MIDI


สามารถบันเสียงเพลงขณะที่เล่นได้
ใช้เนื้อที่ดิสก์น้อย
มีความยืดหยุ่นในการปรับแต่งสูง
สามารถสร้างและเล่นกับเสียงเพลงโดยใช้เครื่องดนตรีหลายชิ้นได้สะดวก


บันทึกเสียงพูดไม่ได้
ให้เสียงต่างกันสำหรับซินธิไซเซอร์แต่ละตัว



เปรียบเทียบเทคโนโลยี

    วิธีการแปลงข้อมูลดิจิตอลที่จัดเก็บไว้กลับมาเป็นคลื่นเสียงของการ์ดเสียง หรือที่เรียกการสังเคราะห์เสียง ในปัจจุบันสามารถกระทำได้ 2 วิธี คือ
    • การสังเคราะห์เสียงแบบเอฟเอ็ม (FM Synthesis) จะเป็นการสังเคราะห์เสียงโดยใช้สูตรต่าง ๆ ที่เก็บอยู่เพื่อเลียนแบบเสียงที่ต้องการ
    • การสังเคราะห์เสียงแบบตารางคลื่นเสียง (Wavetable Synthesis) จะใช้ตัวอย่างเสียงของเครื่องดนตรีที่เก็บอยู่ในการสร้างเสียงต่าง ๆ ซึ่งจะให้คุณภาพที่ดีกว่าการสังเคราะห์แบบเอฟเอ็ม แต่จะมีราคาสูงกว่า
  • หน่วยแสดงผลถาวร (Hard Copy) หมายถึงการแสดงผลที่สามารถจับต้อง และเคลื่อนย้ายได้ตามต้องการ มักจะออกมาในรูปของกระดาษ ซึ่งผู้ใช้สามารถนำไปใช้ในที่ต่าง ๆ หรือให้ผู้ร่วมงานดูในที่ใด ๆ ก็ได้ อุปกรณ์ที่ใช้ เช่น
    • เครื่องพิมพ์ (Printer)
    เป็นอุปกรณ์ที่นิยมใช้กันมาก และมีให้เลือกหลายชนิดขึ้นอยู่กับคุณภาพของตัวอักษร ความเร็วในการพิมพ์ และเทคโนโลยีที่ใช้งาน สามารถแบ่งตามวิธีการพิมพ์ได้ 2 ชนิด คือ
    • เครื่องพิมพ์ชนิดตอก (Impact printer) ใช้การตอกให้คาร์บอนบนผ้าหมึกติดบนกระดาษตามรูปแบบที่ต้องการ สามารถพิมพ์ครั้งละหลายชุดโดยใช้กระดาษคาร์บอนวางระหว่างกระดาษแต่ละแผ่นได้ ข้อเสียของเครื่องพิมพ์ชนิดนี้คือ มีเสียงดังและคุณภาพงานพิมพ์ที่ได้จะไม่ดีนักสามารถแบ่งเป็น 2 ชนิดย่อย คือ
      1. เครื่องพิมพ์อักษร (character printer) หมายถึงเครื่องพิมพ์ที่พิมพ์ครั้งละหนึ่งตัวอักษรเท่านั้น ตัวอักษรแต่ละตัวจะถูกสร้างขึ้นจากจุดเล็ก ๆ จำนวนมาก จึงสามารถเรียกอีกอย่างว่า เครื่องพิมพ์แบบจุด (dot matrix printer) นิยมใช้กับเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์
      2. เครื่องพิมพ์บรรทัด (line printer) หมายถึงเครื่องพิมพ์ที่พิมพ์ครั้งละหนึ่งบรรทัด เป็นเครื่องพิมพ์ที่พิมพ์งานได้เร็ว แต่จะมีราคาสูง นิยมใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ หรือเครื่องพิมพ์ที่มีผู้ใช้หลายคน
    • เครื่องพิมพ์ชนิดไม่ตอก (Nonimpact printer) ใช้เทคนิคการพิมพ์จากวิธีการทางเคมี ซึ่งทำให้พิมพ์ได้เร็วและคมชัดกว่าชนิดตอก และพิมพ์ได้ทั้งตัวอักษรและภาพกราฟฟิค รวมทั้งไม่มีเสียงขณะพิมพ์ แต่มีข้อจำกัดคือไม่สามารถพิมพ์กระดาษแบบสำเนา (copy) ได้ ที่นิยมใช้ในปัจจุบัน 
      1. เครื่องพิมพ์เลเซอร์ (Laser printer) ทำงานคล้ายกับเครื่องถ่ายเอกสาร คือมีแสงเลเซอร์สร้างประจุไฟฟ้า ซึ่งจะมีผลให้โทนเนอร์ (toner) สร้างภาพที่ต้องการและพิมพ์ภาพนั้นลงบนกระดาษ เครื่องพิมพ์เลเซอร์จะมีรุ่นต่าง ๆ ที่แตกต่างกันในด้านความเร็ว และความละเอียดของงานพิมพ์ โดยในปัจจุบันสามารถพิมพ์ได้ละเอียดสูงสุดถึง 1200 จุดต่อนิ้ว (dot per inchหรือ dpi)
      2. เครื่องพิมพ์ฉีดหมึก (Inkjet printer) นิยมใช้กับเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ ส่วนมากจะสามารถพิมพ์สีได้ ถึงแม้จะไม่คมชัดเท่าเครื่องพิมพ์ชนิดเลเซอร์ แต่ก็คมชัดกว่าเครื่องพิมพ์ชนิดตอก และมีราคาถูกกว่าเครื่องพิมพ์ชนิดเลเซอร์ ทำให้ได้รับความนิยมนำมาใช้งานตามบ้านอย่างมาก
      3. เครื่องพิมพ์ความร้อน (Thermal printer) เป็นเครื่องพิมพ์ที่ให้คุณภาพในการพิมพ์สูงสุด จะมี 2 ประเภท คือ Thermal wax transfer ให้คุณภาพและราคาที่ต่ำกว่า ทำงานโดยการกลิ้งริบบอนที่เคลือบแวกซ์ไปบนกระดาษ ส่วนThermal dye transfer ใช้หลักการเดียวกับ Thermal wax แต่ใช้สีย้อมแทน จะเป็นเครื่องพิมพ์ที่ให้คุณภาพสูงสุด โดยสามารถพิมพ์ภาพสีได้ใกล้เคียงกับภาพถ่าย แต่ราคาเครื่องและค่าใช้จ่ายในการพิมพ์จะสูงมาก

(ก) เครื่องพิมพ์แบบจุด (ข) เครื่องพิมพ์เลเซอร์ (ค) เครื่องพิมพ์ฉีดหมึก

    • เครื่องพลอตเตอร์ (Plotler)
    ใช้วาดหรือเขียนภาพสำหรับงานที่ต้องการความละเอียดสูง ๆ นิยมใช้กับงานออกแบบทางสถาปัตยกรรมและวิศวกรรม มีให้เลือกหลายชนิดโดยจะแตกต่างกันในด้านความเร็ว ขนาดกระดาษ และจำนวนปากกาที่ใช้เขียนในแต่ละครั้ง มีราคาแพงกว่าเครื่องพิมพ์ธรรมดา
แหล่งอ้างอิง http://cptd.chandra.ac.th

วันพุธที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2555

วันอังคารที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2555


อุปกรณ์นำเข้าข้อมูล (Input Device)
Input  หมายถึง  การป้อนข้อมูลเข้าสู่เครื่องคอมพิวเตอร์เพื่อทำการประมวลผล  โดย  User  จะเป็นผู้ป้อนข้อมูลเข้าสู่เครื่อง (input) และเครื่องจะนำไปประมวลผลเป็นข่าวสาร   ซึ่งอุปกรณ์ในการนำเข้าข้อมูลมาตรฐาน ได้แก่   Mouse,  Keyboard   และ  Scanner
 Keyboard  จะสร้างสัญญาณอิเล็กทรอนิกส์และแปลงเป็นตัวอักษรคล้ายกับเครื่องพิมพ์ดีด  ซึ่ง Keyboard  จัดเป็นส่วนหนึ่งของเครื่อง   ในแต่ละอุตสาหกรรมอาจมี  Keboard   ที่มีลักษณะเฉพาะเพื่อเอื้อประโยชน์ต่อการใช้งาน
ลักษณะการทำงานของ Keyboard 
ใช้  Keyboard controller   เป็นตัวรับข้อมูลว่าปุ่มใด (Key)  ถูกกด  และจะทำการแปลงค่าสัญญาณเพื่อส่งต่อไปยังส่วนหนึ่งใน Keyboard  buffer  เพื่อบันทึกว่า Key ใดถูกกด  และ Keyboard controller  จะส่ง Interrupt  Request ไปยัง  System  Software ให้ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นที่ Keyboard  ซึ่ง Keyboard ที่เราใช้งานกันอยู่ในปัจจุบัน มีทั้ง Keyboard  แบบปกติที่พบเห็นกันอยู่ทั่วไป  และ Keyboard  แบบพิเศษ ที่มีรูปทรงที่แปลกตา
Ergonomic keyboards 
ถูกออกแบบให้ลดการตึง   เกร็ง  การเคล็ดของข้อมือซึ่งอาจทำให้เกิด 
อันตรายได้หากคุณต้องพิมพ์งานเป็นเวลานาน ๆ  โดย Ergonomic keyboards    
ถูกออกแบบให้มีตำแหน่งการวางข้อมือและแขนเป็นพิเศษ
Mouse   ใช้ในการเลื่อนตำแหน่งของตัวชี้ (Pointer) บนหน้าจอ โดยการขยับ Mouse เลื่อนไปมาบนโต๊ะที่มีพื้นเรียบ    ซึ่งการขยับ Mouse แต่ละครั้งจะสัมพันธ์กับตำแหน่งของ Pointer บนหน้าจอ และรับคำสั่งเมื่อมีการกดปุ่มของ Mouse (click)  ซึ่งคำศัพท์ที่เกี่ยวข้องกับการใช้ Mouse มี 4 คำด้วยกันคือ
-                    Click
-                    Double Click
            -                    Right Clic   
        -                    Drag and  Drop
ประเภทของ Mouse
Mechanical  mouse: ใช้ลูกบอลเล็ก ๆ ในการกลิ้ง-หมุน ซึ่งลูกบอลจะอยู่ใต้ mouse
Optical  mouse : ใช้ลำแสงควบคุมการเคลื่อนที่ของ  mouse
Cordless  mouse : เม้าส์ไร้สาย  ใช้เคเบิลส่งคลื่นแสง  infrared หรือคลื่นวิทยุ เชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์

การทำงานของ Muse

 มี 2 แกน วางอยู่เป็นมุมฉากข้างลูกบอล  ซึ่งแกนดังกล่าวจะเป็นแกนหมุนสัมผัสกับลูกบอลและจะหมุนเมื่อลูกบอลเคลื่อนที่   ตัวดักสัญญาณจะส่งข้อมูลให้คอมพิวเตอร์ทราบว่าแกนหมุน  หมุนไปมากน้อยแค่ไหนเพื่อให้คอมพิวเตอร์แปลงสัญญาณและเลื่อนตำแหน่งให้สอดคล้องกับ Mouse 

Mouse จัดเป็นอุปกรณ์ประเภทตัวชี้  ซึ่งอุปกรณ์ประเภทตัวชี้นี้ ไม่ได้มีเฉพาะ Mouse เพียงอย่างเดียว แต่ยังมีอุปกรณ์ ตัวชี้ชนิดอื่นด้วย  ที่มีหน้าที่การทำงานเช่นเดียวกับ Mouse แต่รูปทรงและลักษณะนั้นแตกต่างออกไป  เช่น  อุปกรณ์ที่ใช้เล่นเกม  อุปกรณ์ที่ใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ Laptop หรือ Notebook  

Trackball 

มีลักษณะคล้ายกับ mouse แต่ไม่มีแกนบังคับ   ใช้การหมุนลูกบอลในกา  ทำงาน  ส่วนมากใช้ในเครื่องคอมพิวเตอร์  Laptop   ทำงานโดยการหมุนลูกบอล โดยตรง เพื่อให้ Cursor เลื่อนไปยังตำแหน่งที่ ต้องการJoystickมีด้ามสั้น ๆ ให้จับ   ควบคุมการเคลื่อนที่ของ pointer  โดยใช้การกดไกปืนเพื่อทำงาน

Touchpadมีรูปทรง เหลี่ยม ใช้การกดและรับความไวของการเคาะ    มีเสียงในการกดเคาะ ดังแปะ ๆ (เหมือนการ Click)  สามารถเลื่อน  pointer ได้โดยการลูบในพื้นที่ 4 เหลี่ยม    การเลื่อน Cursor จะอาศัยนิ้วมือกดและเลื่อน  เป็นอุปกรณ์ที่ติดอยู่กับ Notebook

Pointing stickเป็นลูกทรงกลมเล็ก ๆ ไวต่อการกด  วางอยู่กึ่งกลาง keyboard  ใช้การหมุนเพื่อควบคุมทิศทางการเคลื่อนที่ของ pointer

Graphics tabletใช้ปากกาควบคุมการย้ายตำแหน่ง  วางอยู่บนกระดาน (Board)  ส่วนมากใช้สร้างแผนงานหรือวาดบทย่อ  หรือบทสรุปต่าง ๆ

Digitizer
เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในงานเขียนแบบ ที่เราเรียกว่า “Digitizing tablet” ขนาดของตารางจะแตกต่างกัน   ตารางจะมีการเชื่อมต่อสายเคเบิลเข้ากับคอมพิวเตอร์ เพื่อให้มีการวาดภาพบนตาราง ตัวชี้บนตารางเราเรียกว่า Grid เพื่อกําหนดตําแหน่งในการป้อนข้อมูลให้กับคอมพิวเตอร์
 Touch  screen จอสัมผัส  เป็นได้ทั้งอุปกรณ์ Input และ Output  ใช้นิ้วมือสัมผัสบนหน้าจอ จากนั้นจอภาพจะพิจารณากลุ่มข้อมูลที่ Input  เข้าสู่ระบบ  ส่วนมากใช้ในสถานที่ใหญ่ ๆ ที่มีคนจำนวนมาก  ๆ  เช่น  นำตู้ ATM แบบ  Touch  screen  ไปวางในห้างสรรพสินค้า 
การทำงานของ   Touch  screen  จะใช้  Membrane layer ทำหน้าที่ตรวจสอบการถูกกดบนตำแหน่งหน้าจอ  โดยแต่ละแผ่นจะแยกการตรวจสอบตามแกน x,y  โดยมีการใช้สายไฟ 4 เส้น  layer ละ เส้น เมื่อมีการกดหน้าจอทั้ง  2  layer จะทำการส่งสัญญาณไฟฟ้าไปให้ Controller            
 Pen-based computing 
ใช้ปากกาแสง (Light Pen) ในการนำเข้าข้อมูล   พบในเครื่อง PDA  และ Pocket  PC  
การทำงาน  สามารถรับข้อมูลโดยการใช้ปากกาอิเล็กทรอนิกส์เขียนลงบนหน้าจอของ  PDA หรือ Pocket  PC  ซึ่ง หน้าจอถูกออกแบบมาให้ใช้ร่วมกับอุปกรณ์นี้โดยเฉพาะ พร้อมทั้งรับรู้ทิศทางการเคลื่อนไหวโดยใช้ความไวแสงเพื่อกําหนดตําแหน่งที่ชี้บนจอภาพ    บอกได้ว่ากำลังเขียนตัวอักษรหรือสัญลักษณ์ใด สามารถอ่านลายเซ็นได้
 Scanner ใช้ในการอ่านอักขณะพิเศษ   ตัวเลข   และสัญลัษณ์ต่าง ๆ

                Flatbed  scanner :  จะ scan  ครั้งละ 1 หน้า  สามารถ scan เอกสารขนาดใหญ่ได้Sheetfed  scanner : จะดึงกระดาษเขาไป scan   ต้องกลับด้านของกระดาษ 

Laser scaner : ปัจจุบันมีหลากหลายชนิดให้เลือก รวมทั้งเครื่อง Scan  แบบสั่น  โดยส่วนมากแล้วหากใช้งาน ณ.จุดขายหน้าร้าน (POS: Point of Sale)  ก็จะต้องมีอุปกรณ์อื่นที่ต้องใช้ร่วมกัน  เช่น เครื่องออกใบเสร็จ (Receipt printer)  เครื่อง print bar code  (Bar code printer)     จอคอมพิวเตอร์ที่ใช้ร่วมด้วยจะมีขนาดเล็ก (9” VGA MONO  หรือ 10” COLOR MONITOR)   keyboad  ที่ใช้ก็จะมีเฉพาะตัวเลข (Numeric keyboard)  รวมทั้งต้องใช้เครื่องช่างน้ำหนัก   ป้ายแสดงจำนวนเงิน  เครื่องลงเวลา (Access Control and Time)  ลิ้นชักควบคุม(Cash Drawer)  เครื่องรูดบัตรชนิดต่าง ๆ  เป็นต้น

 Bar Codes   Readers เครื่องอ่านรหัสบาร์โค๊ด (Bar Code Readers)  เป็นอุปกรณ์ที่นํามาใช้เชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ในการประยุกต์ใช้งานทางด้านธุรกิจ  เช่น  อ่านป้ายบอกราคาสินค้า เพื่อสะดวกในการคำนวณจำนวนเงิน และสามารถป้องกันความผิดพลาดที่เกิดจากการบันทึกข้อมูลของผู้ใช้  รหัส Bar code ที่ใช้ในทางธุรกิจ เราเรียกว่า Universal Product Code (UPC)  โดยจะมีขีดสัญลักษณ์ในแนวตั้งขีดเรียงกัน (Bar code)   สัญลักษณ์นั้นแทนด้วยแถบสีขาวและดำที่มีความกว้างแทนค่าเป็น 1  และแคบแทนค่าเป็น   0  การอ่านข้อมูลนั้นพื้นที่ภายในแถบและช่องว่างจะทำให้เกิดความแตกต่างของการสะท้อนกลับ        

ประเภทของเครื่องอ่าน Bar Code    Hand  held  scaner  :  การใช้งานนั้นจะลากอุปกรณ์ผ่านรหัส Bar code  เครื่องจะทํา

การวิเคราะห์แสงที่ผ่านแท่งดําๆ ของรหัส  ว่าข้อมูลที่อ่านไว้เป็นรหัสอะไรและนําไปเปรียบเทียบกับข้อมูลเดิมที่คอมพิวเตอร์บันทึกเอาไว้ มีขนาดเครื่องเล็กและความแม่นยำต่ำ
               
                Cash Register  scaner :  มักพบเห็นในห้างสรรพสินค้า หรืองานที่ใช้ระบบคอมพิวเตอร์ทั่วไป  เช่น ใช้อ่าน Bar Code ของสินค้าหรือใช้อ่านรหัสบัตร

Optical Mark Readers (OMR)   เครื่องอ่านข้อมูลด้วยแสง (Optical Mark Readers)     เช่น  การอ่านข้อมูลบัตร Credit  หรือตรวจกระดาษคำตอบปรนัย   โดยจะบันทึกสัญลักษณ์หรือคำตอบเอาไว้ในคอมพิวเตอร์  และอาศัยการอ่านข้อมูลจากเครื่อง OMR เข้าไปเปรียบเทียบกับสัญลักษณ์ที่บันทึกเอาไว้

Optical Character Recognition (OCR) 
เป็นซอฟต์แวร์ของ Scanner แบบตัวอักขระ (text)   ซึ่งเป็น  software  ที่ต้องจัดหาหรือซื้อเพิ่มเพื่อการใช้งาน

Magnetic  Ink  Character Recognition (MICR)
เครื่องอ่านหมึกแม่เหล็ก  (Magnetic  Ink  Character Recognition  : MICR) ใช้ในการประมวลผลหมายเลขรหัสเช็คของธนาคาร  โดยเครื่องจะอ่านหมึกแม่เหล็กที่เป็นตัวเลข และสัญลักษณ์ ที่พิมพ์ลงบนเช็ค    ใช้ตรวจสอบการลายเซ็น   หรือการมอบอำนาจในการสั่งจ่ายเช็ค

Smart Cards Reader
เครื่องอ่าานบัตร Smart Cards  ถูกออกแบบมาให้ใช้งานร่วมกับคอมพิวเตอร์  ในบัตร Smart card ประกอบด้วยไมโครชิพ   ที่สามารถประมวลผลได้ด้วยคอมพิวเตอร์   มีหน่วยความ
จําเก็บข้อมูลได้โดยไม่สูญหายไม้ไฟฟ้าดับ   การใช้บัตรจะต้องสอดบัตรเข้าไปให้เครื่องอ่านบัตร และป้อนรหัสผ่านจากคีย์บอร์ด บัตรจะมีหน่วยความจําและไมโครชิพจะเก็บเรคคอร์ดไว้อย่างถาวร ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะมีการเปลี่ยนแปลงเมื่อถูกใช้งาน   การใช้บัตรจะเกี่ยวข้องกับการประมวลผลทรานเซคชั่น ไม่ว่าจะเป็นบัตรเครดิต บัตรATM เพื่อให้มีการเปลี่ยนแปลงเรคเคอร์ดของลูกค้าธนาคาร
Terminal
ประกอบด้วยจอภาพ  คีย์บอร์ด และอุปกรณ์ในการเชื่อมโยงการสื่อสารข้อมูล  เป็นอุปกรณ์ปลายทางที่เชื่อมต่อเข้าคอมพิวเตอร์หลัก ใช้สําหรับบันทึกข้อมูลและการสืบคืนข้อมูลจากคอมพิวเตอร์หลัก   จำแนก Termianl  ได้ 3 ประเภทดังนี้
1. Dumb terminal  ทําหน้าที่ในการรับส่งข้อมูลและเชื่อมต่อกับระบบคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ เพียงอย่างเดียว
 2. Smart terminal มีขีดความสามารถสูงกว่าชนิดแรก ทําหน้าที่รับส่งข้อมูลและสามารถแก้ไขข้อมูลที่
ผิดพลาดได้
3. Intelligent terminal เป็นการนําไมโครคอมพิวเตอร์  มาเป็นเครื่องเทอร์มินอล   มีการรับส่ง  แก้ไขข้อมูลได้  และยังสามารถประมวลผลด้วยตัวเองได้   มีขีดความสามารถสูงสุด
 Voice Input  Devices
รับเสียงพูดของ  User ส่งเข้าไปใน computer    อุปกรณ์จะจดจำเสียง และแปลงเสียงพูดนั้นเป็นข้อมูล  binary   โดยอาศัยระบบรู้จำเสียง (Voice Recognition System)   ซึ่งจะเปลี่ยนเสียงพูดให้คอมพิวเตอร์เข้าใจ โดยการเปรียบเทียบรูปคลื่นสัญญาณไฟฟ้าที่เปลี่ยนมาจากเสียงพูด กับรูปแบบของสัญญาณเสียงที่กําหนดไว้ ถ้าเหมือนกัน (Matching) คอมพิวเตอร์ก็จะยอมรับสัญญาณเสียงนั้น   ส่วนใหญ่แล้วเสียงที่ส่งเข้าไปนั้นจะขึ้นอยู่กับ User ว่าจะพูดอะไร  ระบบจะ เรียนรู้เสียงของ User   เอง  ประเภทของระบบเสียงมี 2 แบบ คือ ระบบคำไม่ต่อเนื่อง   จะมีการแบ่งคำของ user  และระบบคำแบบต่อเนื่อง  โดย  User สามารถพูดได้เป็นปกติ

Digital Camera ใช้ถ่ายภาพและจัดเก็บข้อมูลบน  Chip    ภาพเก็บภาพลงในคอมพิวเตอร์  และแก้ไขภาพด้วย software   รวมถึงเก็บภาพไว้ในสื่อ CDs  หรือ  DVDs    ภาพจะมีความละเอียดหลายล้าน pixels   จัดเก็บและลบทิ้งจาก memory card ได้การทำงานของ Digital Camera   จะมีรูรับแสงเปิดออก ภาพจะถูก Focus  ผ่านเลนส์  และกระทบลงบนส่วนรับภาพที่เรียกว่า  CCD      CCD จะแปลงภาพที่ได้เป็นสัญญาณอนาล๊อก (Sign Analog)  เพื่อนำไป  ผ่าน ADC  ซึ่งจะแปลงสัญญาณกลับเป็น Digital สามารถนำเข้าคอมพิวเตอร์  เพื่อใช้งานในประโยชน์อื่น ๆ  

Video Input Deviceจะประกอบด้วย ลำดับของเฟรม (Frames) ภาพนิ่งหลายเฟรม  มีการสลับเฟรมเพื่อแสดงผลได้อย่างรวดเร็วพอที่จะหลอกตาคนดูได้ว่าภาพที่เห็นนั้นเป็นภาพเคลื่อนไหว   ในการเปลี่ยนเฟรมหรือเคลื่อนที่ของภาพจะเร็วจนเห็นเป็นภาพต่อเนื่อง 

อุปกรณ์ล่าสุดของ sumsung


เทคโนโลยีฉีกกฎ ปฏิวัติโลกทีวี
อย่างที่ทราบกันดีว่า แอลอีดีทีวี เป็นเทคโนโลยีล่าสุดของทีวีวันนี้ โดยหลักการทำงานของมันก็คือ ใช้การส่องสว่างของ LED (Light Emitting Diode) ที่สามารถให้ความแตกต่างของแสงสว่างกับมึดสนิท หรือที่เรียกว่า คอนทราส (contrast) ให้กับทุกจุดของภาพที่ปรากฎบนหน้าจอ ทำให้คุณได้รับชมภาพจากด้านหน้าจอที่มีมิติของความคมชัดลุ่มลึกสมจริงมากกว่าทีวีชนิดอื่นๆ
Samsung LED TV - Overview

ภาพลักษณ์โดยรวมของ Samsung LED TV Series 6
ซ้ายมือจะเป็นการมองโครงสร้างของแอลอีดีทีวีจากด้านหน้า ซึ่งจะเห็นภาพการจัดวางของชั้น Light Guide Plate ซ้อนอยู่ด้านหลังจอ LED โดยมีหลอด LED อยู่ด้านหลังสุด ส่วนภาพทางขวานั้นจะแสดงให้เห็นถึงโครงสร้างง่ายๆ ของการทำงาน โดยหลอด LED จะส่องสว่างจากด้านหลังจอผ่านเข้าไปในชั้น LGP ซึ่งทำหน้าที่กระจายแสงออกไปยังพิกเซลที่เปิด (on) อยู่ ทำให้แสงสว่างผ่านสีสันของพิกเซลออกไปปรากฎบนหน้าจอได้ดังรูป
อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีการผลิตที่ใช้การติดตั้ง LED ไว้ด้านหลังจอภาพ เพื่อให้แสงสว่างสามารถกระจายผ่านเข้าไปทั่วทั้งหน้าจอทีวีได้นั้น ต้องอาศัยการทำงานร่วมกับเทคโนโลยีชั้นสูงที่เป็นเอกสิทธิ์ของซัมซุงเท่านั้น นั่นคือ Light Guide Plate (LGP) ที่มีลักษณะเป็นชั้นบางๆ ซ้อนอยู่ด้านหลังของจออีกทีหนึ่ง (ดูในรูป) เพื่อให้แสงสว่างจาก LED ที่ส่องผ่านเข้าไปในขั้น LGP สามารถกระจายแสงสว่างไปทั่วทั้งหน้าจอได้อย่างสมบูรณ์
ทดลองเล่นวีดีโอ ที่ความละเอียด FULL HD 1080P ด้วยพอร์ท USB 2.0 Movie
ให้ภาพคมชัดสมจริง
สามารถปรับโหมดการแสดงภาพให้เหมาะกับประเภทของวีดีโอที่ต้องการชม ได้ถึง 4 รูปแบบด้วยกัน
ได้แก่ Dynamic, Standard, Natural, Movie
ช่องสัญญาณเชื่อมสัญญาณวีดีโอและภาพมีให้เลือกหลากหลาย ได้แก่ HDMI 4 พอร์ท, USB 2.0, Audio Out L-R (Mini Jack), PC input (D-sub), PC Audio Input (Mini Jack), DVI Audio Input, Component (Y/Pb/Pr), Composite (AV), RF input

Hyper Real อีกขั้นของเทคโนโลยีที่ให้ภาพเคลื่อนไหว คมชัด สมจริง
นอกเหนือจากความสว่างใส ความคมชัดของภาพ  ที่ได้จากเทคโนโลยีหลอดภาพใหม่ LED TV แล้ว   Samsung LED TV ยังได้มีการพัฒนาสุดยอดเทคโนโลยีที่ช่วยทำให้ภาพคมชัดสูงสุดสมจริงแบบ  HyperReal อีกด้วย โดยคุณสมบัติการแสดงผลอันเป็นสุดยอดนี้เกิดขึ้นได้ด้วย 3 เทคโนโลยีที่พบได้ในแอลอีดีทีวีของซัมซุง ซึ่งแต่ละเทคโนโลยีมีรายละเอียดดังนี้

Mega Dynamic Contrast ระบบควบคุมความเข้มของแสงที่ทำให้ภาพที่ปรากฎมีมิติสมจริง โดยเฉพาะการแสดงความแตกต่างอย่างสุดขั้วระหว่างแสงสว่าง และความมึดสนิท ซึ่งจะทำให้คุณไม่ต้องทนเห็นแสงเว่อร์ๆ ฟุ้งออกมาจากบริเวณภาพที่ต้องการความมึดสนิทสมจริงดังเช่นที่ปรากฎในจอทีวีทั่วไป  

Wide Color Enhancer Pro อีกหนึ่งเทคโนโลยีที่ให้ช่วงของสีสันต่างๆ ที่ปรากฎบนจอสามารถมีได้นับล้านเฉด และเต็มอิ่มทุกเฉด ดังนั้นภาพที่ปรากฎจึงสามารถแสดงสีสันได้สวยงามดุจภาพจากธรรมชาติจริงๆ ซึ่งเรื่องของเทคโนโลยีการแสดงเฉดสี ถือเป็นจุดเด่นของซัมซุงอยู่แล้ว

200 Hz Motion Plus สำหรับเทคโนโลยีนี้จะทำให้ Samsung LED TV สามารถแสดงภาพที่มีการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วได้อย่างสมบูรณ์แบบ ไม่มีอาการเบลอ หรือสะดุดของภาพให้เสียอารมณ์ โดยจะมีอัตราเฟรมในการแสดงภาพเคลื่อนไหวอยู่ที่ 200 เฟรมต่อวินาท หรือคิดเป็น 4 เท่าของทีวีทั่วไป (50 เฟรมต่อวินาที)
และเมื่อผสานเทคโนโลยีทั้ง 3 เข้าด้วยกัน ผลลัพธ์ทำให้การแสดงภาพบนแอลอีดีทีวีของซัมซุงมีความคมชัด สีสันสวยงาม พร้อมทั้งการเคลื่อนไหวที่สมจริงยิ่งขึ้น ซึ่งก็สอดคล้องกับคุณสมบัติของการทำงานที่เรียกว่า HyperReal อย่างแท้จริง
ประสบการณ์ใหม่กับโลกมัลติมีเดีย กับ Media2.0
นอกจาก Samsung LED TV จะตอบโจทย์ความบันเทิงบนหน้าจอได้อย่างสมบูรณ์แบบด้วยการแสดงผลที่สมจริงแล้ว คุณสมบัติอันเหนือชั้นกว่าทีวีทั่วไป ซึ่งผู้ใช้ต้องชื่นชอบอย่างแน่นอน นั่นก็คือ เทคโนโลยีใหม่ที่เรียกว่า Media 2.0  ที่สามารถเชื่อมโลกออนไลน์บนหน้าจอทีวีได้ หรือพูดง่ายๆ ก็คือ คุณสามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต เพื่อรับชมข่าวสารต่างๆ จากทั่วโลกได้ด้วย Samsung TV Widget โปรแกรมขนาดเล็กที่ทำงานบนเทคโนโลยี Internet@TV ที่ติดตั้งมาพร้อมตัวเครื่อง ซึ่งคุณสามารถรับชมข่าวในประเทศจาก The Nation ตลาดหุ้น หรือข่าวต่างประเทศจาก USA Today ตลอดจคลิปวิดีโอสนุกๆ จาก YouTube และเช็คข้อมูลพยากรณ์อากาศ AccuWeather ได้ล่วงหน้า ทั่วประเทศ  เพียงแค่กดรีโมทของทีวีเท่านั้น
สำหรับคุณสมบัติ Media 2.0 จะสามารถพบได้ใน Samsung LED TV รุ่น 7,000 กับ 8,000 เท่านั้น นอกจากนี้รุ่น 8,000 จะแตกต่างจากรุ่น 7,000 ตรงที่เป็นรุ่นใช้ความถี่ 200Hz ในการแสดงภาพเคลื่อนไหวบนหน้าจอ
Content Library Flash  Built-in Content ความบันเทิง 5 แบบ เช่นแกลอรี่รูปภาพ ที่เปิดโชว์เพื่อน ๆ  เวลามาที่บ้านได้ รายการอาหาร  รายการสุขภาพ รายการเด็ก และเกมส์สนุกๆ     หรือ USB 2.0 Movie อันนี้เหมาะกับชีวิตดิจิตอลที่เชื่อมต่อสื่อดิจิตอลต่าง  ๆ เช่นกล้อง เครื่องเล่น MP3  คุณสามารถดูภาพท่องเที่ยวทริปโปรดล่าสุดจากกล้องโดยผ่านจอทีวีขนาดใหญ่  และ DLNA (Digital Living Network Alliance)    ที่คุณสามารถเชื่อมต่อหรือแลกเปลี่ยนมัลติมีเดีย เช่นรูปภาพ เพลง วีดีโอที่อยุ่ในแต่ละสื่อไม่ว่าจะเป็น ทีวี  คอมพิวเตอร์ หรือมือถือได้อย่างง่ายดาย  หรือเรียกว่าเป็น Home Networking ภายในบ้าน

ประหยัดพลังงาน และเป็นมิตรกับธรรมชาติ
Samsung LED TV ผลิตจากวัสดุที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม Eco-Friendly TV (เทคโนโลยีจอ LCD แบบเดิมจะใช้หลอด CCFL ในการให้แสงสว่าง ซึ่งใช้สารปรอทในการผลิต) และผ่านกระบวนการที่ไม่ก่อมลภาวะ แถมยังเป็นเทคโนโลยีที่ช่วยประหยัดพลังงานไฟฟ้าได้มากถึง 43% เมื่อเทียบกับทีวีทั่วไป และแอลอีดีทีวีจะมีอายุการใช้งานที่ยาวนานกว่าจอแอลซีดีทั่วไปอีกด้วย ซึ่งโดยเฉลี่ยจะมีอายุการใช้งานนานกว่าประมาณ 2 เท่า
สุดยอดแห่งเทคโนโลยีภายใต้ดีไซน์ที่บางที่สุดในโลก
ไม่น่าเชื่อเลยนะครับว่า ด้วยสุดยอดนวตกรรมของเทคโนโลยีต่างๆ ที่ได้สาธยายมาข้างต้น จะสามารถนำมารวมกันไว้ภายใต้ดีไซน์ที่สวยล้ำ และความบางที่ไม่น่าเชื่อว่าจะทำได้ ซึ่งความดีความชอบนี้ต้องยกให้กับเทคโนโลยี LED ที่มีขนาดของหลอดเล็กมาก แต่ให้ประสิทธิภาพในการส่องสว่างได้เหนือกว่า LCD TV ทั่วไป ซึ่งใช้หลอดภาพที่มีขนาดใหญ่กว่าอีกด้วย โดย Samsung LED TV จะมีความบางแค่ 1.17 นิ้วเท่านั้น ทำให้ประหยัดพื้นที่ในการตั้งวางลงได้มากทีเดียว ประกอบกับการออกแบบกรอบทีวีแบบคริสตัลใสที่เรียกว่า Liquid Crystal Design ทำให้มันมีความสวยงามหรูหรามีระดับ และด้วยชุดแขวนผนังที่ได้รับการออกแบบมาให้มีความบางเป็นพิเศษ ทำให้คุณสามารถแขวน Samsung LED TV ไว้บนฝาผนังได้โดยมีช่องว่างระหว่างจอกับผนังให้เหลือแค่เพียง 15 ม.ม.เท่านั้น
Ultra Slim Design ความหนาของจอภาพเพียง 1.17 นิ้ว (2.97 ซ.ม.) เท่านั้น

การออกแบบด้วยขอบจอใส หรูหราแบบ Crystal Design
ทำให้ LED TV จาก Samsung กลายเป็นประติมากรรมชิ้นเอกในบ้านของคุณ

และด้วยคุณสมบัติการใช้งานที่เพียบพร้อมประกอบกับเทคโนโลยีทีตอบโจทย์ความบันเทิงที่เหนือชั้นที่ให้ทั้งความสว่างคมชัดทั้งหน้าจอ และการเคลื่อนไหวของภาพที่สวยงามสมจริง ตลอดจนความสามารถในการเชื่อมโลกความบันเทิงกับอินเทอร์เน็ตเข้าด้วยกัน ซึ่งทั้งหมดก็คงจะไม่เป็นการกล่าวเกินไปนักที่จะบอกว่า คุณจะหาแอลอีดีทีวีทีมีคุณสมบัติเพียบพร้อม และคุ้มค่าขนาดนี้จากที่ไหนอีกล่ะครับ
อ้างอิงจาก : www.arip.co.th